Skip to content
เทคโนโลยี 3D Printer คืออะไร

เทคโนโลยี 3D Printer คืออะไร

เครื่องพิมพ์ 3มิติ หรือ 3D Printer คืออะไร ?

เครื่องพิมพ์ 3 มิติ (3D Printer) เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลหรือแบบจำลอง 3 มิติให้กลายเป็นชิ้นงานจริงที่สามารถจับต้องได้ โดยอาศัยกระบวนการผลิตแบบเติมเนื้อวัสดุทีละชั้น (Additive Manufacturing) ซึ่งแตกต่างจากการผลิตแบบดั้งเดิมที่เน้นการตัด หรือนำเนื้อวัสดุออก (Subtractive Manufacturing) เช่น การใช้เครื่องกลึง เครื่องกัด หรือเครื่อง CNC

ด้วยกระบวนการผลิตแบบเติมวัสดุนี้ ทำให้การสูญเสียวัสดุลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับการผลิตแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ เครื่อง 3D Printer ยังมีความง่ายต่อการใช้งานและต้องการเวลาเรียนรู้ที่น้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้หลายประเทศ โดยเฉพาะในฝั่งตะวันตก ส่งเสริมการใช้งานเทคโนโลยีนี้ตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตในยุคดิจิทัล

 

เครื่องพิมพ์ 3 มิติ (3D Printer) ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างหรือผลิตสิ่งของ อะไหล่ และชิ้นส่วนต่างๆ ได้ด้วยตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาโรงงานหรือร้านที่รับผลิต ทักษะสำคัญที่จำเป็นในการใช้งานคือการออกแบบแบบจำลอง 3 มิติ ซึ่งสามารถทำได้ผ่านโปรแกรมหลากหลายรูปแบบที่มีทั้งแบบฟรีและเสียค่าใช้จ่าย

 

โปรแกรมเหล่านี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบงานปั้นที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิต การสร้างแบบจำลองทางศิลปะ สถาปัตยกรรม หรือแม้แต่งานออกแบบที่เน้นความแม่นยำในเชิงวิศวกรรม ทั้งนี้ การเลือกใช้โปรแกรมขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และประเภทของงานที่ต้องการสร้างสรรค์

ข้อดีของเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing)

  1. ลดต้นทุนการผลิต
    • ใช้วัสดุอย่างคุ้มค่า เนื่องจากเป็นการเติมวัสดุทีละชั้น (Additive Manufacturing) ทำให้ลดการสูญเสียวัสดุเมื่อเทียบกับกระบวนการผลิตแบบดั้งเดิมที่ใช้การตัดหรือกลึงวัสดุออก
    • เหมาะสำหรับการผลิตชิ้นงานจำนวนน้อยหรือต้นแบบ (Prototype) ที่ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณสูง หรือทำจำนวนน้อย
  2. ออกแบบได้อย่างอิสระและซับซ้อน
    • สามารถสร้างชิ้นงานที่มีโครงสร้างซับซ้อนได้โดยไม่มีข้อจำกัดทางด้านการผลิตแบบดั้งเดิม เช่น โครงสร้างภายในที่ซับซ้อน น้ำหนักเบา หรือรูปทรงเฉพาะทาง โดยใช้เทคโนโลยีระบบผง
  3. ความเร็วในการผลิต
    • ลดระยะเวลาในการผลิตต้นแบบหรือชิ้นส่วน เมื่อเทียบกับการสั่งผลิตจากโรงงาน
    • ช่วยเร่งกระบวนการพัฒนาและทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่
  4. ปรับแต่งได้ง่าย (Customization)
    • สามารถผลิตชิ้นงานที่ออกแบบเฉพาะบุคคลหรือเฉพาะโปรเจกต์ได้ เช่น ชิ้นส่วนอุปกรณ์การแพทย์ อวัยวะเทียม หรือเครื่องประดับ
  5. ความยืดหยุ่นในการใช้งาน
    • รองรับวัสดุที่หลากหลาย เช่น พลาสติก โลหะ เรซิน หรือวัสดุชีวภาพ ทำให้สามารถใช้งานได้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น การแพทย์ วิศวกรรม สถาปัตยกรรม และแฟชั่น
  6. ลดความจำเป็นในการจัดเก็บสินค้า
    • สามารถพิมพ์ชิ้นงานเมื่อมีความต้องการ (On-demand production) ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการเก็บสต็อกสินค้า หรือ Tooling ที่ใช้ในการผลิต
  7. ส่งเสริมการเรียนรู้และการสร้างสรรค์
    • ส่งเสริมการเรียนรู้ในด้านการออกแบบ 3 มิติและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานจนถึงระดับวิชาชีพ

    เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติถือเป็นเครื่องมือที่เปิดโอกาสใหม่ให้กับการผลิตในหลายด้าน ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ ความคิดสร้างสรรค์ และการพัฒนาอย่างยั่งยืน

    ข้อจำกัดของเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing)

    1. ข้อจำกัดด้านวัสดุ
      • แม้ว่าจะมีวัสดุให้เลือกใช้หลากหลาย แต่ยังไม่ครอบคลุมทุกประเภท เช่น วัสดุบางชนิดที่ต้องการคุณสมบัติพิเศษ (เช่น ทนความร้อนสูง หรือความแข็งแรงเทียบเท่าเหล็กกล้า) อาจยังไม่เหมาะสมสำหรับการพิมพ์ 3 มิติ
    2. ความเร็วในการผลิต
      • การพิมพ์ 3 มิติใช้เวลาในการสร้างชิ้นงานค่อนข้างนาน โดยเฉพาะสำหรับชิ้นงานขนาดใหญ่หรือที่มีรายละเอียดซับซ้อน เมื่อเทียบกับการผลิตแบบดั้งเดิมในปริมาณมาก
    3. ขนาดของชิ้นงาน
      • ขนาดของชิ้นงานที่ผลิตได้ถูกจำกัดด้วยขนาดของเครื่องพิมพ์ หากต้องการชิ้นงานขนาดใหญ่ อาจต้องแยกส่วนแล้วประกอบภายหลัง
    4. ต้นทุนเริ่มต้นสูง
      • แม้ว่าราคาของเครื่องพิมพ์ 3 มิติจะลดลงมาก แต่เครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงหรือใช้ในงานเฉพาะทางยังมีราคาสูง รวมถึงค่าใช้จ่ายของซอฟต์แวร์ออกแบบและการบำรุงรักษา
    5. ความแข็งแรงและความทนทานของชิ้นงาน
      • ชิ้นงานที่พิมพ์ด้วย 3D Printing อาจมีความแข็งแรงไม่เทียบเท่ากับชิ้นงานที่ผลิตด้วยกระบวนการดั้งเดิม เช่น การหล่อขึ้นรูป หรือการปั๊มโลหะ
    6. ข้อจำกัดด้านความแม่นยำและรายละเอียด
      • ในบางกรณี ความละเอียดของชิ้นงานอาจไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น อุตสาหกรรมการแพทย์หรือชิ้นส่วนวิศวกรรมที่ซับซ้อน
    7. ความซับซ้อนในการออกแบบ
      • การใช้งานต้องอาศัยความรู้ในด้านการออกแบบ 3 มิติ และการใช้ซอฟต์แวร์เฉพาะ ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับผู้เริ่มต้น
    8. ข้อจำกัดทางกฎหมายและลิขสิทธิ์
      • การผลิตสิ่งของบางอย่าง เช่น อาวุธ หรือชิ้นส่วนที่มีลิขสิทธิ์ อาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมาย
    9. ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
      • แม้จะช่วยลดขยะวัสดุ แต่การพิมพ์ 3 มิติยังมีข้อกังวลเรื่องการใช้พลังงานสูง รวมถึงการจัดการขยะจากวัสดุที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ เช่น เรซิน

      เทรนด์ของการใช้งานตัวเทคโนโลยี โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้ทั่วไป (Consumer Segment) ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดูได้จากแบรนด์ Prusa, Bambu Lab Creality, Anycubic หรือ Elegoo

      ขั้นตอนการทำงานของเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing)

      การพิมพ์ 3 มิติเป็นกระบวนการที่เปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลให้กลายเป็นชิ้นงานจริงที่จับต้องได้ โดยมีขั้นตอนการทำงานหลักๆ ดังนี้:

      1. การออกแบบแบบจำลอง 3 มิติ (3D Modeling)
      • ใช้ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ช่วยออกแบบ (CAD) เพื่อสร้างแบบจำลอง 3 มิติ
      • แบบจำลองนี้จะต้องมีข้อมูลที่ครบถ้วน ทั้งขนาด รูปทรง และรายละเอียดของชิ้นงาน
      • ตัวอย่างโปรแกรมยอดนิยม: AutoCAD, Fusion 360, Tinkercad, Blender
      1. การแปลงไฟล์เป็นรูปแบบที่เครื่องพิมพ์รองรับ
      • เมื่อออกแบบเสร็จ แบบจำลองจะถูกส่งออก (Export) เป็นไฟล์รูปแบบที่เครื่องพิมพ์รองรับ เช่น STL หรือ OBJ
      • ไฟล์ STL จะบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับพื้นผิวและโครงสร้างของชิ้นงาน
      1. การตั้งค่าการพิมพ์ (Slicing)
      • ใช้โปรแกรม Slicer เช่น Cura หรือ PrusaSlicer แปลงไฟล์ STL ให้กลายเป็นคำสั่งที่เครื่องพิมพ์สามารถเข้าใจได้ (G-code)
      • ในขั้นตอนนี้ ผู้ใช้สามารถกำหนดรายละเอียดการพิมพ์ เช่น
        • ความละเอียดของชั้น (Layer Height)
        • ความเร็วในการพิมพ์ (Printing Speed)
        • การเติมวัสดุภายใน (Infill)
        • ประเภทและการตั้งค่าเส้นรองรับ (Support Structure) หากชิ้นงานมีโครงสร้างซับซ้อน
      1. การเตรียมเครื่องพิมพ์และวัสดุ
      • เตรียมเครื่องพิมพ์ให้พร้อม เช่น การปรับระดับฐานพิมพ์ (Bed Leveling) หรือทำความสะอาดหัวพิมพ์
      • เลือกวัสดุที่เหมาะสม เช่น
        • Filament (พลาสติก PLA, ABS, PETG)
        • Resin (สำหรับเครื่อง SLA/DLP)
        • Powder Bed (สำหรับเครื่อง SLS, SLM, DMLS)
      1. กระบวนการพิมพ์ (Printing)
      • เครื่องพิมพ์เริ่มสร้างชิ้นงานโดยการเติมวัสดุทีละชั้น (Additive Manufacturing) ตามเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน
      • กระบวนการนี้ใช้เวลาต่างกันไปตามขนาดและความซับซ้อนของชิ้นงาน
      1. การจัดการชิ้นงานหลังการพิมพ์ (Post-Processing)
      • เมื่อการพิมพ์เสร็จสิ้น ชิ้นงานจะถูกนำออกจากฐานพิมพ์
      • หากใช้วัสดุที่มีโครงสร้างรองรับ (Support Structure) จะต้องกำจัดออก
      • อาจต้องปรับแต่งเพิ่มเติม เช่น การขัดพื้นผิว การทาสี การเคลือบ หรือการอบชิ้นงาน
      1. การตรวจสอบคุณภาพ (Quality Check)
      • ตรวจสอบชิ้นงานที่ได้ว่าตรงตามแบบที่ออกแบบไว้หรือไม่
      • หากพบข้อบกพร่อง อาจต้องแก้ไขการตั้งค่าการพิมพ์หรือการออกแบบก่อนพิมพ์ใหม่

      สำหรับเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ มีกี่แบบ แตกต่างกันอย่างไร อ่านเพิ่มเติมได้ในบทความนี้ (คลิก)

      Cart 0

      Your cart is currently empty.

      Start Shopping